วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎีการเรียนรู้ของพาฟลอฟ

อิวาน พาฟลอฟ



                อิวาน พีโตรวิช พาฟลอฟ นักวิทยาศาสตร์และนักจิตวิทยาชาวรัสเซียที่สำคัญคนหนึ่ง เขาได้ชื่อว่าเป็นบิดาของวิชาจิตวิทยาสมัยใหม่ จากการศึกษาการทำงานของส่วนต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะสมองและระบบประสาททำให้เขาพบสาเหตุที่ทำให้มนุษย์และสัตว์ มีพฤติกรรมต่างๆ เขาเป็นผู้ตั้งทฤษฎี การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก ซึ่งมีหลักการว่า “ การเรียนรู้เกิดจากการที่ร่างกายได้ตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้หลายๆชนิด โดยที่การตอบสนองอย่างเดียวกัน อาจมาจากสิ่งเร้าต่างชนิดกันได้” หากมีการวางเงื่อนไขที่แน่นแฟ้นเพียงพอ อิวาน พาฟลอฟ เกิดเมือปี ค.ศ. 1849 ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงมอสโคว์ ประเทศรัสเซีย บิดาเป็นนักบวชมีฐานะยากจน ต้องทำการกสิกรรม ควบคู่กับการเป็นนักบวช เมื่ออายุได้ 8 ปี อิวาน พาฟลอฟ ก็ล้มเจ็บเนื่องจากระบบหายใจ นักบวชรูปหนึ่งซึ่งเป็นพ่อทูล หัวของเขาได้นำเขาไปที่สำนักสงฆ์ใกล้ๆ บ้าน เพื่อให้การดูแลและรักษาจนเขาหายป่วย นักบวชรูปนั้นได้ชักจูงเขาให้ดำเนินชีวิตเรียบง่ายแบบเดียวกับท่าน คอยสอนหนังสือและให้คำแนะนำในการศึกษาจนเขาสามารถเข้าโรงเรียนและเป็นนักเรียนที่เก่งที่สุดในชั้นเรียน วิชาที่อิวาน พาฟลอฟ สนใจที่สุดคือ สรีระวิทยา และได้เข้าศึกษาต่อในระดับที่มหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์สเบอร์ก จนได้ปริญญาทางวิทยาศาสตร์และได้ใบรับรองให้เป็นแพทย์ได้ ในปีค.ศ. 1891
              อิวาน พาฟลอฟได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ผู้อำนวยการทางสรีระวิทยา ที่สถาบันทดลองทางการแพทย์ในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบอร์ก และใช้เวลานั้นในการศึกษาระบบการย่อยอาหารในมนุษย์ และสัตว์ และได้แต่งตำราเกี่ยวกับระบบการย่อยอาหารจนได้รับรางวัลโนเบล แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้เปลี่ยนแนวการวิจัยไปศึกษาเรื่องสมองและระบบประสาท ที่มีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ 
              อิวาน พาฟลอฟ รู้ว่ามนุษย์และสัตว์ จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบโดยอัตโนมัติเมื่อได้รับสิ่งเร้าทั้งมีเงื่อนไขและไม่มีเงื่อนไข และพบว่าจะทดลองหลักการนี้กับสัตว์ได้ง่ายกว่ามนุษย์ เพราะมนุษย์สามารถเรียนรู้ที่จะควบคุมปฎิกริยาของตนเองได้ถ้าต้องการ โดย พาฟลอฟ ได้นำสุนัขมาไว้ในการทดลอง แล้วใช้สิ่งเร้าที่มีเงื่อนไขคือการสั่นกระดิ่งสุนัขจะกระดิกหาง จากนั้นเขาก็ได้เปลี่ยนสิ่งเร้าใหม่ ใช้สิ่งเร้าที่ไม่มีเงื่อนไขคือ นำเนื้อมาให้สุนัขกิน สุนัขได้ตอบสนองต่อเนื้อคือมีน้ำลายไหล พฤติกรรมน้ำลายไหลของสุนัขเกิดขึ้นตามธรรมชาติในลักษณะไม่มีเงื่อนไข ต่อมามีการสั่นกระดิ่งพร้อมกับยื่นเนื้อให้ สุนัขก็ตอบสนองคือมีน้ำลายไหล เขาทำเช่นนี้หลายๆครั้ง จนสุนัขรรับรู้ว่าถ้ามีเสียงกระดิ่งแล้วจะต้องมีเนื้อตามมาในลักษณะเป็นสิ่งเดียวกัน จนในที่สุด สุนัขได้ยินเสียงกระดิ่งอย่างเดียวก็ตอบสนองด้วยอาการน้ำลายไหล แสดงว่าเสียงกระดิ่งเป็นสิ่งเร้า ที่มีเงื่อนไข ทำให้สุนัขเกิดการเรียนรู้ขึ้นจาการวางเงื่อนไขนั่นเอง อย่างเช่น เมื่อมีคนถามว่าเคยชิม “มะดัน”หรือไม่ ทันทีที่ได้ยินคำว่า”มะดัน”จะปรากฏว่ามีน้ำลายสอขึ้นในปาก ดังนี้เป็นต้น หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว นักจิตวิทยาหลายคนได้ศึกษาตามแนวคิดของเขา และได้เรียนรู้ถึงพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์มากมาย
             อิวาน พาฟลอฟ ถึงแก่กรรมเมื่อปีค.ศ. 1936 ขณะมีอายุได้ 87 ปี

วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎีพัฒนาการตามวัยของโรเบิร์ต เจ. ฮาวิกเฮิร์ส


ทฤษฎีพัฒนาการตามวัยของโรเบิร์ต เจ. ฮาวิกเฮิร์ส
( Havighurst’s Theory of Development task )

ศาสตราจารย์โรเบิร์ต ฮาวิกเฮิร์ส  (Robert havighurst 1953-1972) ได้ให้ชื่อว่างานที่มนุษย์ทุกคนจะต้องทำตามวัยว่า  งานพัฒนาการ หมายถึง  งานที่ทุกคนจะต้องทำในแต่ละวัยของชีวิต  สัมฤทธิ์ผลของงานพัฒนาการของงานแต่ละวัย  มีความสำคัญมากเพราะเป็นของการเรียนรู้งานพัฒนาขั้นต่อไป
ในการสร้างทฤษฎีงานพัฒนาการ  ฮาวิกเฮิร์ส  ถือว่าการพัฒนาการของมนุษย์ไม่ได้ขึ้นกับปัจจัยทางสรีระหรือชีวะแต่เพียงอย่างเดียว  สังคมและวัฒนธรรม และปัจจัยทางจิตวิทยาของแต่ละบุคคลมีอิทธิพลในการพัฒนาการของบุคคลด้วย  ดังนั้น ฮาวิกเฮิร์ส ได้สรุปว่า   ตัวแปรที่สำคัญในการพัฒนามี  3  อย่าง
  1.  วุฒิภาวะทางร่างกาย
  2.  ความมุ่งหวังของสังคมและกลุ่มที่แต่ละบุคคลเป็นสมาชิกอยู่
  3.  ค่านิยม  แรงจูงใจ  ความมุ่งหวังส่วนตัวและความทะเยอทะยานของแต่ละบุคคล
        3.1  ความพร้อมเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ  (Natural  Readiness  Approach
                               กลุ่มนี้นี้ความเห็นว่า  ความพร้อมของบุคคลเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเมื่อถึงวัยหรือเมื่อถึงระยะเวลาที่เหมาะสมที่จะทำกิจกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดได้ดังนั้นในกลุ่มนี้จึงเห็นว่าการทำอะไรก็ตามไม่ควรจะเป็น การเร่ง เพราะการเร่งจะไม่ทำให้เกิดประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น ตรงกันข้ามอาจจะทำให้เกิดผลเสียตามมาคือ ความท้อถอย และความเบื่อหน่าย เป็นต้น
                    3.2  ความพร้อมเกิดจากการกระตุ้น  (Guided  Experience  Approach)
              กลุ่มนี้มีความเห็นตรงข้ามกับกลุ่มแรก คือ เห็นว่า ความพร้อมนั้นสามารถเร่งให้เกิดขึ้นได้ โดยการกระตุ้น การแนะนำ การจัดประสบการณ์อันจะก่อให้เกิดเป็นความพร้อมได้โดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยเด็ก ซึ่งจะเป็นวัยที่มีช่วงวิกฤติ  (Critical  Period)ของการเรียนรู้และการปรับตัวเป็นอย่างมาก
4.  สิ่งแวดล้อม  ได้แก่  สิ่งที่อยู่รอบตัวบุคคลนั้นๆ ทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งที่ไม่มีชีวิต  นอกจากนั้นสิ่งแวดล้อมยังหมายรวมถึงระบบและโครงสร้างต่างๆ ที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น เช่น ระบบครอบครัว ระบบสังคม ระบบวัฒนธรรม เป็นต้น
การแบ่งพัฒนาการของมนุษย์
พัฒนาการของมนุษย์ แบ่งออกเป็น 4 ด้านใหญ่ๆ คือ
1.  พัฒนาการทางกาย เป็นการแบ่งพัฒนาการของมนุษย์ตามขั้นตอนใน     แต่ละวัน
2.  พัฒนาการทางด้านความคิดหรือสติปัญญา (Cognitive Development) ของเพียเจท์
3.  พัฒนาการทางด้านจิตใจ ซึ่งแบ่งย่อยเป็น
3.1  พัฒนาการทางด้านจิตใจ-เพศ  (Psychosexual  Development)  ของฟรอยด์ (Freud)
3.2  พัฒนาการทางด้านจิตใจ-สังคม (Psychosocial  Development)  ของอีริคสัน (Erikson)
4.  พัฒนาการด้านจริยธรรม (Moral  Development) ของโคลเบริ์ก (Kohlberg
พัฒนาการตามวัย
ตามแนวความคิดของฮาวิคเฮอร์ท (Hovighurst) ได้แบ่งพัฒนาการของมนุษย์ออกเป็นวัยต่างๆได้ดังนี้
1.  วัยเด็กเล็ก-วัยเด็กตอนต้น (แรกเกิด- 6 ปี) ในวัยนี้จะมีงานที่สำคัญ  ดังนี้
                - การเรียนรู้ทางด้านร่างกาย เช่น การยกศีรษะ คลาน การทรงตัว การเดิน
               - การเรียนรู้ทางด้านการรับประทานอาหาร
               - การเรียนรู้ทางด้านการเปล่งเสียง การพูด
                - การเรียนรู้ในเรื่องการควบคุมการขับถ่าย
                - เริ่มมีความคิดรวบยอดง่ายๆ เกี่ยวกับความจริงทางสังคม และทางกายภาพ
                - เริ่มรู้จักแยกความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ผิด-ถูก และเริ่มพัฒนาทางจริยธรรม
2.  วัยเด็กตอนกลาง (6-18 ปี) ในวัยนี้จะมีงานที่สำคัญ ดังนี้
                - พัฒนาทักษะทางด้านกายภาพ
                - เรียนรู้ที่จะแสดงบทบาทให้เหมาะสมกับเพศของตนเอง
                  - พัฒนาในเรื่องการปรับตัวเข้ากับเพื่อนรุ่นเดียวกัน
                - พัฒนาเกี่ยวกับเรื่องศีลธรรม ค่านิยม เพื่อเตรียมพร้อมที่จะอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
3. วัยรุ่น (12-18 ปี) พัฒนาการที่สำคัญของบุคคลในวัยนี้ คือ
                - พัฒนาความคิดรวบยอดและทักษะในการแก้ปัญหา
                - สามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีและเหมาะสมกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน ทั้งเพศเดียวกันและต่างเพศได้
                - พยายามปรับตัวเองให้เข้ากับการเปลี่ยนทั้งทางด้านร่างกายและอารมณ์
  4.  วัยผู้ใหญ่ตอนต้น  (18-35 ปี)  ในวัยนี้จะมีลักษณะที่สำคัญ  ดังนี้
              - เริ่มต้นประกอบอาชีพ
- เริ่มสร้างครอบครัวของตนเอง
                - เรียนรู้ที่จะมีชีวิตร่วมกับคู่แต่งงาน
5. วัยกลางคน (35-60 ปี) งานที่สำคัญในวัยนี้ คือ
               - มีความรับผิดชอบต่อสังคม
               - มีความพยายามในการสร้างฐานะทางเศรษฐกิจ เพื่อความเป็นปึกแผ่นของครอบครัว
               - รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ได้มากขึ้น
               - สามารถปรับตัวและทำความเข้าใจคู่ชีวิตของตนเองให้ได้
6. วัยชรา  (อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป)  งานที่สำคัญในวัยนี้ คือ
                - สามารถปรับตัวกับสภาพร่างกายที่เสื่อมถอยลง
               - สามารถปรับตัวได้กับการเกษียณอายุการทำงาน
               - สามารถปรับตัวได้กับการตายจากของคู่ครอ

วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก


ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก


ประวัติของโคลเบิร์ก
ลอเรนส์ โคลเบิร์ก (Lawrence Kohlberg)  ผู้สนใจความประพฤติ ถูก-ผิด-ดี-ชั่วของมนุษย์  ทฤษฎีของโคลเบิร์กได้ชื่อทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรม (Moral Development Theory)โคลเบิร์ก (Lawrence  Kohlberg) ได้ศึกษาวิจัยพัฒนาการทางจริยธรรมตามแนวทฤษฎีของพีอาเจต์ แต่โคลเบิรก์ได้ปรับปรุงวิธีวิจัย การวิเคราะห์ผลรวมและได้วิจัยอย่างกว้างขวางในประเทศอื่นที่มีวัฒนธรรมต่างไป
ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก
โคลเบิร์ก ได้ศึกษาการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรมของเยาวชนอเมริกัน อายุ 10 -16 ปี และได้แบ่งพัฒนาการทางจริยธรรมออกเป็น 3 ระดับ (Levels) แต่ละระดับแบ่งออกเป็น 2 ขั้น (Stages) ดังนั้นพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์กมีทั้งหมด 6 ขั้น
ระดับที่  1 ระดับก่อนกฏเกณฑ์สังคม
ระดับนี้เด็กจะรับกฎเกณฑ์และข้อกำหนดของพฤติกรรมที่ ดี”  “ไม่ดีจากผู้มีอำนาจเหนือตน มักจะคิดถึงผลตามที่จะนำรางวัลหรือการลงโทษ จะตัดสินใจเลือกแสดงพฤติกรรมที่เป็นหลักต่อตนเอง  โดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น จะพบในเด็ก 2-10 ปี
โคลเบิร์กแบ่งขั้นพัฒนาการ ระดับนี้เป็น 2 ขั้น คือ
        ขั้นที่ 1
        ระดับจริยธรรมของผู้อื่น
ในขั้นนี้เด็กจะใช้ผลตามของพฤติกรรมเป็นเครื่องชี้ว่า  พฤติกรรมของตน ถูกหรือ ผิดเป็นต้นว่า  ถ้าเด็กถูกทำโทษก็จะคิดว่าสิ่งที่ตนทำ  ผิดและจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ทำสิ่งนั้นอีก  พฤติกรรมใดที่มีผลตามด้วยรางวัลหรือคำชม เด็กก็จะคิดว่าสิ่งที่ตนทำ ถูก”  และจะทำซ้ำอีกเพื่อหวังรางวัล
        ขั้นที่ 2
                     ระดับจริยธรรมของผู้อื่น
                ในขั้นนี้เด็กจะสนใจทำตามกฎข้อบังคับ  เพื่อประโยชน์หรือความพอใจของตนเอง หรือทำดีเพราอยากได้ของตอบแทน หรือรางวัล
พฤติกรรมของเด็กในขั้นนี้ทำเพื่อสนองความต้องการของตนเอง  แต่มักจะเป็นการแลกเปลี่ยนกับคนอื่น เช่น ประโยค ถ้าเธอทำให้ฉัน  ฉันจะให้.......
ระดับที่ 2 ระดับจริยธรรมตามกฎเกณฑ์สังคม
เป็นการประพฤติตนตามความคาดหวังของผู้ปกครอง บิดามารดา กลุ่มที่ตนเป็นสมาชิกหรือของชาติ เป็นสิ่งที่ควรจะทำหรือทำความผิด เพราะกลัวว่าตนจะไม่เป็นที่ยอมรับของผู้อื่น จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคมโดยคำนึงถึงจิตใจของผู้อื่น  จะพบในวัยรุ่นอายุ 10 -16 ปี
โคลเบิร์กแบ่งพัฒนาการ ระดับนี้เป็น 2 ขั้น คือ
        ขั้นที่ 3
                   การยอมรับของกลุ่มหรือสังคม
ใช้เหตุผลเลือกทำในสิ่งที่กลุ่มยอมรับโดยเฉพาะเพื่อน เพื่อเป็นที่ชื่นชอบและยอมรับของเพื่อน  ไม่เป็นตัวของตัวเอง  คล้อยตามการชักจูงของผู้อื่น  เพื่อต้องการรักษาสัมพันธภาพที่ดี  พบในวัยรุ่นอายุ 10 -15 ปี ขั้นนี้แสดงพฤติกรรมเพื่อต้องการเป็นที่ยอมรับของหมู่คณะ การช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อทำให้เขาพอใจ
        ขั้นที่ 4
                  กฎและระเบียบของสังคม
จะใช้หลักทำตามหน้าที่ของสังคม โดยปฏิบัติตามระเบียบของสังคมอย่างเคร่งครัด  เรียนรู้การเป็นหน่วยหนึ่งของสังคม  ปฏิบัติตามหน้าที่ของสังคมเพื่อดำรงไว้ซึ่งกฎเกณฑ์ในสังคม พบในอายุ 13 -16 ปี
ขั้นนี้แสดงพฤติกรรมเพื่อทำตามหน้าที่ของสังคม   โดยบุคคลรู้ถึงบทบาทและหน้าที่ของเขาในฐานะเป็นหน่วยหนึ่งของสังคมนั้น  จึงมีหน้าที่ทำตามกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่สังคมกำหนดให้ หรือคาดหมายไว้
ระดับที่ 3 ระดับจริยธรรมอย่างมีวิจารณญาณ
เป็นหลักจริยธรรมของผู้มีอายุ 20 ปี ขึ้นไป  ผู้ทำหรือผู้แสดงพฤติกรรมได้พยายามที่จะตีความหมายของหลักการและมาตรฐานทางจริยธรรมด้วยวิจารณญาณ  ก่อนที่จะยึดถือเป็นหลักของความประพฤติที่จะปฏิบัติตาม  การตัดสินใจ   ถูก”  “ผิด” “ไม่ควรมาจากวิจารณญาณของตนเอง
โคลเบิร์กแบ่งพัฒนาการ ระดับนี้เป็น 2 ขั้น คือ
        ขั้นที่ 5
                   สัญญาสังคมหรือหลักการทำตามคำมั่นสัญญา
ขั้นนี้เน้นถึงความสำคัญของมาตรฐานทางจริยธรรมที่ทุกคนหรือคนส่วนใหญ่ในสังคมยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ถูกสมควรที่จะปฏิบัติตาม  โดยพิจารณาถึงประโยชน์และสิทธิของบุคคลก่อนที่จะใช้เป็นมาตรฐานทางจริยธรรม  ได้ใช้ความคิดและเหตุผลเปรียบเทียบว่าสิ่งไหนผิดและสิ่งไหนถูก ในขั้นนี้การ ถูกและ  ผิดขึ้นอยู่กับค่านิยมและความคิดเห็นของบุคคลแต่ละบุคคล
        ขั้นที่ 6
                   หลักการคุณธรรมสากล
ขั้นนี้เป็นหลักการมาตรฐานจริยธรรมสากล  เป็นหลักการเพื่อมนุษยธรรม  เพื่อความเสมอภาคในสิทธิมนุษยชนและเพื่อความยุติธรรมของมนุษย์ทุกคน  ในขั้นนี้สิ่งที่ ถูกและ  ผิด”  เป็นสิ่งที่ขึ้นมโนธรรมของแต่ละบุคคลที่เลือกยึดถือ 

ทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนวคิดของ เจโรม บรูเนอร์


ทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนวคิดของ เจโรม บรูเนอร์


ประวัติความเป็นมา เจโรมบรูเนอร์
เจโรม บรูเนอร์ เกิดในเมืองนิวยอร์ค ในปี ค.. 1915  เป็นนักการศึกษา และนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน  ซึ่งผลงานส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับผลงานของเปียเจต์  บรูเนอร์มีความสนใจในเรื่องพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็ก
บรูเนอร์มีความเชื่อว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสังคมที่ผู้เรียนจะต้องลงมือปฏิบัติ และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองทั้งนี้โดยมีพื้นฐานอยู่บนประสบการณ์หรือความรู้เดิม
บรูเนอร์ได้จัดลำดับขั้นพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กหรือโครงสร้างทางสติปัญญาเป็น 3 ขั้น
ขั้นที่1  Enactive representation
ขั้นที่2  Iconic representation
ขั้นที่3  Symbolic representation
ขั้นที่1 Enactive representation
ขั้นที่1 Enactive representation (แรกเกิด – 2 ขวบ ) ในวัยนี้ เด็กจะมีการพัฒนาการทางสติปัญญา โดยใช้การกระทำเป็นการเรียนรู้ หรือเรียกว่า Enactive mode เด็กจะใช้การสัมผัส เช่น จับต้องด้วยมือ ผลัก ดึง สิ่งที่สำคัญเด็กจะต้องลงมือกระโดดด้วยตนเอง เช่น การเลียนแบบ หรือการลงมือกระทำกับวัตถุสิ่งของ ต่างกับผู้ใหญ่ ที่จะใช้ทักษะที่ซับซ้อน เช่น ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ เป็นต้น         
ขั้นที่2 Iconic representation
ขั้นที่2 Iconic representation ในพัฒนาทางขั้นนี้ จะเป็นการใช้ความคิด เด็กสามารถถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ ที่เกิดจากการมองเห็น การสัมผัส โดยการนึกมโนภาพ การสร้างจินตนาการ พัฒนาการนี้จะเพิ่มขึ้นตามอายุของเด็ก ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งสร้างจินตนาการได้มากขึ้น การเรียนรู้ในขั้นนี้เรียกว่า Iconic mode เด็กจะสามารถเรียนรู้โดยการใช้ภาพแทนการสัมผัสของจริง บรูเนอร์ได้เสนอแนะ ให้นำโสตทัศนวัสดุมาใช้ในการสอน เช่น บัตรคำ ภาพนิ่ง เพื่อที่จะช่วยเสริมสร้างจินตนาการให้กับเด็ก
ขั้นที่3 Symbolic representation
ขั้นที่3 Symbolic representation ในพัฒนาการทางขั้นนี้ บรูเนอร์ถือว่าเป็นการพัฒนาการขั้นสูงสุดของความรู้ความเข้าใจ เช่น การคิดเชิงเหตุผล หรือการแก้ปัญหา วิธีการเรียนรู้ขั้นนี้เรียกว่า Symbolic mode ซึ่งผู้เรียนจะใช้ในการเรียนได้เมื่อมีความเข้าใจในสิ่งที่เป็นนามธรรม
แนวคิดของบรูเนอร์ที่มีอิทธิพลต่อการศึกษา
ขั้นพัฒนาการต่างๆ  ที่บรูเนอร์เสนอไว้ได้นำไปสู่แนวความคิดในการจัดการศึกษาในระดับต่างๆ ดังนี้
1.ระดับอนุบาลและระดับประถมต้น
2.ระดับประถมปลาย
3.ระดับมัธยมศึกษา
ระดับอนุบาลและระดับประถมต้น
เด็กวัยอนุบาลจะอยู่ในระดับ  Iconic representation  ซึ่งการเรียนรู้ต่างๆ  อยู่ในลักษณะของการกระทำ  โดยผ่านประสบการณ์ที่ได้พบเห็นและการรับรู้ต่างๆ
เด็กประถมต้นยังอยู่ในวัย Iconic representation  เด็กวัยนี้สามารถสร้างภาพในใจได้
ระดับประถมปลาย
เด็กในระดับประถมปลายมีพัฒนาจาก Iconic representation  ไปสู่  symbolic  representation  ซึ่งสิ่งที่บรูเนอร์เน้นที่คล้ายคลึงกับแนวความคิดของเปียเจท์ในหลักการทั่วไป
ระดับมัธยมศึกษา
การใช้สัญลักษณ์  (  symbolic  representation  )  ของเด็กวัยนี้เป็นไปอย่างกว้างขึ้น  ครูมีวิธีช่วยให้พัฒนาขึ้นไปอีกโดยการกระตุ้นให้ใช้  discovery  approach  โดยเน้นความเข้าใจ  concept  และสิ่งที่เป็นนามธรรมต่างๆ
แนวทางในการจัดการเรียนการสอน
บรูเนอร์ได้กล่าวถึงทฤษฎีในการจัดการเรียนการสอนว่าควรประกอบด้วยลักษณะสำคัญ  4 ประการ คือ
1 ผู้เรียนต้องมีแรงจูงใจภายใน มีความอยากรู้ อยากเห็นสิ่งต่างๆรอบตัว
2 โครงสร้างของบทเรียนซึ่งต้องจัดให้เหมาะสมกับผู้เรียน
3 การจัดลำดับความยาก-ง่ายของบทเรียนโดยคำนึงถึงพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียน
4 การเสริมแรงของผู้เรียน
สรุป
บรูเนอร์มีความเห็นว่า  คนทุกคนจะมีพัฒนาการทางความรู้ความเข้าใจ  โดยผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  acting, imaging และ symbolizing   เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องไปตลอดชีวิต  มิใช่ว่าเกิดขึ้นเพียงช่วงใดช่วงหนึ่งในระยะแรกๆของชีวิตเท่านั้น
  

ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์


ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์


ประวัติของเพียเจต์
Ø จอห์น เพียเจต์ (พ.ศ. 2439 - 2523) Jean Piaget (ค.ศ.1896 - 1980) ผู้สร้างทฤษฎีพัฒนาการเชาวน์ปัญญา 
Ø ทฤษฎีเกี่ยวกับพัฒนาการเชาวน์ปัญญาที่ผู้เขียนเห็นว่ามีประโยชน์สำหรับครู คือ ทฤษฎีของนักจิตวิทยาชาวสวิส ชื่อ เพียเจต์ (Piaget)
Ø เพียเจต์ได้รับปริญญาเอกทางวิทยาศาสตร์สาขาสัตวิทยาที่มหาวิทยาลัยNeuchatelประเทศสวิสเซอร์แลนด์ 
Ø เพียเจต์ ( Piaget) ได้ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านความคิดของเด็กว่ามีขั้นตอนหรือกระบวนการอย่างไร
Ø ทฤษฎีของเพียเจต์ตั้งอยู่บนรากฐานของทั้งองค์ประกอบที่เป็นพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ มีสาระสรุปได้ดังนี้

1) พัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลเป็นไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น ดังนี้
Ø 1.1ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensori Motor Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี
Ø 1.2) ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่อายุ 2-7 ปี แบ่งออกเป็นขั้นย่อยอีก 2 ขั้น คือ
                1. ขั้นก่อนเกิดสังกัป เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุ 2-4 ปี 
                2. ขั้นการคิดแบบญาณหยั่งรู้ นึกออกเองโดยไม่ใช้เหตุผล  เป็นขั้นพัฒนาการของเด็ก อายุ 4-7 ปี

Ø 1.3) ขั้นปฏิบัติการคิดด้านรูปธรรม (Concrete Operation Stage) ขั้นนี้จะเริ่มจากอายุ 7-11 ปี
Ø 1.4) ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม (Formal Operational Stage) ขั้นนี้จะเริ่มจากอายุ 11-15 ปี
                สิ่งที่เป็นนามธรรมพัฒนาการทางการรู้คิดของเด็กในช่วงอายุ 6 ปีแรกของชีวิต ซึ่งเพียเจต์ ได้ศึกษาไว้เป็นประสบการณ์ สำคัญที่เด็กควรได้รับการส่งเสริม มี 6 ขั้น ได้แก่
                1. ขั้นความรู้แตกต่าง 
                2. ขั้นรู้สิ่งตรงกันข้าม 
                3. ขั้นรู้หลายระดับ  
                4. ขั้นความเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง 
                5. ขั้นรู้ผลของการกระทำ 
                6. ขั้นการทดแทนอย่างลงตัว

2) ภาษาและกระบวนการคิดของเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่
3) กระบวนการทางสติปัญญามีลักษณะดังนี้
Ø 3.1) การซึมซับหรือการดูดซึม (assimilation)
Ø 3.3) การเกิดความสมดุล (equilibration)
Ø 3.2) การปรับและจัดระบบ (accommodation)
การนำไปใช้ในการจัดการศึกษา / การสอน
เมื่อทำงานกับนักเรียน ผู้สอนควรคำนึงถึงพัฒนาการทางสติปัญญาของนักเรียนดังต่อไปนี้
1.  นักเรียนที่มีอายุเท่ากันอาจมีขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาที่แตกต่างกันนักเรียนแต่ละคนจะได้รับประสบการณ์ 2 แบบคือ
Ø ประสบการณ์ทางกายภาพ (physical experiences)
Ø ประสบการณ์ทางตรรกศาสตร์ (Logicomathematical experiences)
2. หลักสูตรที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ ควรมีลักษณะดังต่อไปนี้คือ 
Ø เน้นพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียน
Ø เสนอการเรียนการเสนอที่ให้ผู้เรียนพบกับความแปลกใหม่ 
Ø เน้นการเรียนรู้ต้องอาศัยกิจกรรมการค้นพบ 
Ø เน้นกิจกรรมการสำรวจและการเพิ่มขยายความคิดในระหว่างการเรียนการสอน 
ใช้กิจกรรมขัดแย้ง (cognitive conflict activities)
3. การสอนที่ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนควรดำเนินการดังต่อไปนี้ 
Ø ถามคำถามมากกว่าการให้คำตอบ 
Ø ครูผู้สอนควรจะพูดให้น้อยลง และฟังให้มากขึ้น 
Ø ควรให้เสรีภาพแก่นักเรียนที่จะเลือกเรียนกิจกรรมต่าง ๆ 
Ø เมื่อนักเรียนให้เหตุผลผิด ควรถามคำถามหรือจัดประสบการณ์ให้นักเรียนใหม่ เพื่อนักเรียนจะได้แก้ไขข้อผิดพลาดด้วยตนเอง 
Ø ชี้ระดับพัฒนาการทางสติปัญญาของนักเรียนจากงานพัฒนาการทางสติปัญญาขั้นนามธรรมหรือจากงานการอนุรักษ์ เพื่อดูว่านักเรียนคิดอย่างไร 
Ø ยอมรับความจริงที่ว่า นักเรียนแต่ละคนมีอัตราพัฒนาการทางสติปัญญาที่แตกต่างกัน 
Ø ผู้สอนต้องเข้าใจว่านักเรียนมีความสามารถเพิ่มขึ้นในระดับความคิดขั้นต่อไป 
ตระหนักว่าการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเพราะจดจำมากกว่าที่จะเข้าใจ เป็นการเรียนรู้ที่ไม่แท้จริง (pseudo learning) 
 4. ในขั้นประเมินผล ควรดำเนินการสอนต่อไปนี้ 

Ø มีการทดสอบแบบการให้เหตุผลของนักเรียน 
Ø พยายามให้นักเรียนแสดงเหตุผลในการตอนคำถามนั้น ๆ 
Ø ต้องช่วยเหลือนักเรียนทีมีพัฒนาการทางสติปัญญาต่ำกว่าเพื่อนร่วมชั้น